เมนู

การนอนในครรภ์เป็นหนสุดท้ายแล้ว สงสาร
เพื่อภพใหม่ต่อไปของเราสิ้นสุดแล้ว.

จบ อัฏฐสัททชาดกที่ 2

อรรถกถาอัฏฐสัททชาดกที่ 2



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
เสียงแสดงความแร้นแค้น อันน่าสะดุ้งกลัวที่พระเจ้าโกศลได้ทรงสดับ
ในเวลาเที่ยงคืน จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริมต้นว่า อิทํ ปุเร นินฺนมาหุ
ดังนี้. เนื้อเรื่องก็เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในโลหกุมภิชาดก ใน
จตุกกนิบาตนั่นแหละ.
ส่วนในเรื่องนี้ เมื่อพระเจ้าโกศลทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ จะมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เพราะเสียงที่ข้าพระองค์ได้สดับนี้ พระ-
บรมศาสดาจึงตรัสว่า มหาบพิตรขอพระองค์อย่าได้ทรงกลัวเลย จะไม่
มีอันตรายใด ๆ แก่พระองค์ เพราะเหตุที่ได้ทรงสดับเสียงเหล่านั้น
มหาบพิตร พระองค์ได้ทรงสดับเสียงแสดงความแร้นแค้นอันน่าสะดุ้ง
กลัวเช่นนี้ แต่พระองค์เดียวก็หามิได้ แม้พระราชาองค์ก่อน ๆ ก็ได้
สดับเสียงเช่นนี้ แล้วเชื่อคำของพวกพราหมณ์ ประสงค์จะบูชายัญด้วย
สัตว์อย่างละ 4 ครั้นได้ฟังถ้อยคำของบัณฑิต จึงรับสั่งให้ปล่อยสัตว์ที่จับ
ไว้เพื่อจะฆ่าบูชายัญ แล้วให้ตีกลองเป่าประกาศห้ามฆ่าสัตว์ทั่วพระนคร
พระเจ้าโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มีสมบัติแปดสิบโกฏิ
ครั้นเจริญวัย ได้ศึกษาศิลปวิทยาในเมืองตักกศิลา เมื่อมารดาบิดาตาย
ไปแล้ว จึงตรวจดูทรัพย์สมบัติ แล้วสละสมบัติทั้งหมดให้เป็นทาน ละ
กามารมณ์เข้าป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤาษี ทำฌานอภิญญาให้บังเกิดแล้ว
แต่ต้องการจะเสพรสเค็ม รสเปรี้ยว จึงไปยังถิ่นมนุษย์ ถึงเมืองพา-
ราณสีแล้ว พำนักอยู่ในพระราชอุทยาน. ในครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี
เสด็จประทับเหนือพระแท่นสิริไสยาสน์ ในเวลาเที่ยงคืน ได้ทรงสดับ
เสียง 8 อย่างคือ :-
1. นกยางตัวหนึ่ง ในพระราชอุทยาน ใกล้พระราชวังร้อง.
2. เสียงร้องของนกยางยังไม่ทันขาดเสียง แม่กาซึ่งอาศัยอยู่ที่
เสาระเนียดโรงช้าง ร้อง.
3. แมลงภู่ซึ่งอาศัยอยู่ที่ช่อฟ้าเรือนหลวง ร้อง.
4. นกดุเหว่าที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
5. เนื้อที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
6. วานรที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
7. กินนรที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
8. เมื่อเสียงร้องของกินนรยังไม่ทันขาดเสียง พระปัจเจกพุทธ-

เจ้า ผู้ไปถึงพระราชอุทยาน ท้ายพระราชวัง เมื่อจะเปล่งอุทานครั้งหนึ่ง
ได้ทำเสียงขึ้น.
พระเจ้าพาราณสี ได้ทรงสดับเสียง 8 อย่างเหล่านี้แล้ว ตก
พระทัย สะดุ้งกลัว ในวันรุ่งขึ้นจึงตรัสถามพวกพราหมณ์. พราหมณ์
ทั้งหลายพากันกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า อันตรายปรากฏแก่พระ-
องค์ พวกข้าพระองค์จักบูชายัญด้วยวิธีสัตว์อย่างละ 4 เมื่อพระราชา
ทรงอนุญาตว่า ท่านทั้งหลายจงทำตามชอบใจ ต่างก็พากันร่าเริงยินดี
ออกจากราชสำนักไปเริ่มยัญญกรรม.
ครั้งนั้นมาณพ ผู้เป็นศิษย์ของหัวหน้าพราหมณ์ผู้ทำยัญญกรรม
เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด กล่าวกะอาจารย์ว่า ข้าแต่อาจารย์ ยัญญกรรม
อย่างนี้ เป็นกรรมหยาบช้ากล้าแข็ง. ไม่เป็นที่น่ายินดี ก่อความพินาศ
แก่สัตว์เป็นอันมาก ขอท่านอย่าได้ทำเลย. อาจารย์กล่าวว่า พ่อเอย
เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ถ้าจักไม่มีอะไรอย่างอื่นขึ้น พวกเราก็จักได้
กินปลาและเนื้อมากมายก่อน. มาณพกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ขอ
ท่านอย่าได้ทำกรรมที่จะให้เกิดในนรก เพราะอาศัยท้องเลย. พวก
พราหมณ์ที่เหลือได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาณพว่า มาณพเป็นอันตรายต่อลาภ
ของพวกเรา. เพราะกลัวพราหมณ์เหล่านั้น มาณพจึงกล่าวว่า ถ้าเช่น
นั้น พวกท่านจงทำอุบายกินปลาและเนื้อเถิด แล้วออกไปนอกพระนคร
พิจารณาดู สมณะผู้มีธรรม ซึ่งสามารถจะห้ามพระราชาได้ ไปพระ-
ราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์ไหว้แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ

ท่านไม่มีความอนุเคราะห์ในสัตว์ทั้งหลายบ้างหรือ พระราชารับสั่ง
ให้ฆ่าสัตว์เป็นอันมากบูชายัญ การที่ท่านจะทำให้มหาชนพ้นจากเครื่อง
พันธนาการ จะไม่สมควรหรือ ?
พระโพธิสัตว์ ตอบว่า ถูกแล้ว มาณพ แต่เราอยู่ที่นี่ พระ-
ราชาก็ไม่รู้จักเรา เราก็ไม่รู้จักพระราชา.
มาณพถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ท่านรู้ความสำเร็จผลแห่งเสียง
ที่พระราชาทรงสดับหรือ ?
เออ เรารู้
เมื่อรู้ เหตุไรจึงไม่กราบทูลพระราชา ?
ดูก่อนมาณพ เราผูกเขาสัตว์ไว้ที่หน้าผาก จะอาจบอกว่า เรารู้
ได้อย่างไร ถ้าพระราชาเสด็จมาที่นี้แล้วตรัสถามว่า เราก็จักกราบทูลให้
ทรงทราบ.
มาณพก็รีบไปราชสำนักโดยเร็ว เมื่อพระราชาตรัสถามว่า อะไร
กันเล่าพ่อคุณ ? ก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มีดาบสองค์หนึ่งรู้
ความสำเร็จผลแห่งเสียงที่พระองค์ได้ทรงสดับ นั่งอยู่บนมงคลศิลา ใน
พระราชอุทยานของพระองค์ กล่าวว่า ถ้าพระราชาตรัสถามเรา เราจัก
กราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์ควรเสด็จไปถามพระดาบสนั้น พระเจ้าข้า.
พระราชาเสด็จไปในที่นั้นโดยเร็ว ไหว้พระดาบสแล้ว อันพระ-
ดาบสทำปฏิสันถารแล้ว ประทับนั่งแล้วตรัสถามว่า ได้ยินว่า พระคุณเจ้า

รู้ความสำเร็จผลแห่งเสียง ที่ข้าพเจ้าได้ฟังจริงหรือ ?
ถูกแล้ว มหาบพิตร.
ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้า ได้กรุณาชี้แจงความสำเร็จผลแห่ง
เสียงที่ข้าพเจ้าได้ฟังนั้น แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.
มหาบพิตร จะไม่มีอันตรายไร ๆ แก่พระองค์เลย เพราะได้ทรง
สดับเสียงเหล่านั้น ก็นกยางตัวหนึ่งมีอยู่ที่สวนเก่า นกยางนั้นเมื่อไม่
ได้เหยื่อ ถูกความหิวครอบงำ ได้ร้องขึ้นเป็นเสียงแรก พระดาบสกราบ
ทูลดังนี้แล้ว โดยที่กำหนดรู้กิริยาของนกยางด้วยญาณของตน จึงได้
กล่าวคาถาที่ 1 ความว่า :-
สระมงคลโบกขรณีนี้ แต่ก่อนเป็นที่ลุ่ม
ลึก มีน้ำมาก มีปลามาก เป็นที่อยู่อาศัยของ
พญานกยาง เป็นที่อยู่แห่งบิดาของเรา บัดนี้
น้ำแห้ง วันนี้พวกเราจะพากันเลี้ยงชีพด้วยกบ
ถึงพวกเราจะถูกความหิวบีบคั้นถึงเพียงนี้ ก็
จะไม่ละที่อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ พระดาบสกล่าวหมายถึงสระ-
โบกขรณีที่เป็นมงคลนั้น เมื่อก่อนมีน้ำไหลซึมไปตามสุมทุมพุ่มไม้ที่อยู่
ในน้ำ จึงมีน้ำมาก มีปลามาก แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นสระมีน้ำน้อย เพราะ-
น้ำแห้งขอดเสียแล้ว.

บทว่า ตฺยชฺช เภเกน ความว่า วันนี้พวกเราเมื่อไม่ได้ปลา
เหล่านั้นเป็นอาหาร ก็จะพากันเลี้ยงชีพด้วยกบ.
บทว่า โอกํ ความว่า ถึงพวกเราจะถูกความหิวบีบคั้นถึงเพียงนี้
ก็จะไม่ยอมละทิ้งที่อยู่ไป.
พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร ด้วยเหตุดังทูล
มานี้ นกยางนั้น ถูกความหิวบีบคั้นจึงร้อง แม้ถ้าพระองค์ประสงค์จะ
เปลื้องนกยางนั้น ให้พ้นจากความหิว จงชำระสวนให้สะอาด แล้วไข
น้ำเข้าให้เต็มสระโบกขรณี. พระราชารับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งกระทำ
ตามนั้น.
พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า แม่กาตัวหนึ่ง
อยู่ที่เสาระเนียดโรงช้างของพระองค์ โศกเศร้าถึงลูกของตัว จึงได้ร้อง
เป็นเสียงที่สอง แม้เพราะเหตุนั้นภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ ดังนี้แล้วกล่าว
คาถาที่ 2 ความว่า :-
ใครจะทำลายนัยน์ตาข้างที่สองของนาย
พันธุระ ผู้มีอาวุธในมือให้แตกได้ ใครจักกระ
ทำลูกรักของเรา และตัวเราให้มีความสวัสดี ได้.

ครั้นกล่าวดังนี้ ได้ทูลถามว่า ดูก่อนมหาบพิตร นายควาญช้าง
ที่โรงช้างของพระองค์ชื่อไร ?
ชื่อพันธุระขอรับ ท่านผู้เจริญ

มหาบพิตร เขาตาบอดข้างหนึ่งหรือ ?
พระราชา ถูกแล้ว ท่านผู้เจริญ
ก่อนมหาบพิตร แม่กาตัวหนึ่งทำรังอยู่ที่เสาระเนียดประตูโรง
ช้าง ออกไข่ ฟักไข่แล้ว ลูกก็ออกจากฟองไข่ นายควาญช้างขี่ช้าง
เข้าออกจากโรงช้าง เอาขอตีแม่กาบ้าง ลูกกาบ้าง รื้อรังเสียบ้าง แม่
กาได้รับความลำบากเช่นนั้น จึงร้องขอให้นัยน์ตานายควาญช้างนั้นบอด
เสียทั้งสองข้าง. ถ้าพระองค์จะทรงมีพระทัยเมตตาแก่แม่กา โปรดเรียก
นายพันธุระนั้นมา จงห้ามอย่าให้รื้อรังอีก. พระราชาให้หาตัวนาย-
พันธุระมา ทรงบริภาษแล้วไล่ออก แล้วทรงตั้งคนอื่นเป็นนายควาญ-
ช้างแทน.
พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาพิตร มีแมลงภู่ตัวหนึ่ง
อยู่ที่ช่อฟ้ามหาปราสาท กัดกระพี้กินหมดแล้ว ไม่อาจกัดแก่นกินได้
เมื่อไม่ได้อาหารก็ไม่อาจออกไป จึงคร่ำครวญเป็นเสียงที่สาม แม้เพราะ
เหตุนั้น ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ ดังนี้แล้ว โดยที่กำหนดรู้กิริยาของ
แมลงภู่นั้นด้วยญาณของตน จึงกล่าวคาถาที่ 3 ความว่า :-
ดูก่อนมหาบพิตร คติของกระพี้ไม้นั้นมี
อยู่เพียงใด กระพี้ไม้ทั้งหมด แมลงภู่เจาะกิน
สิ้นแล้วเพียงนั้น แมลงภู่หมดอาหารแล้ว จึง
ไม่ยินดีในไม้แก่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาว ตสฺสา คตี อหุ ความว่า
กระพี้ไม้นั้น ได้ให้ความสำเร็จประโยชน์มาแล้วเพียงใด กระพี้ไม้นั้น
แมลงภู่ก็กัดกินเสียหมดสิ้นเพียงนั้น.
บทว่า น รมตี ความว่า พระดาบสทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร
แมลงภู่นั้น ออกจากที่นั้นแล้ว เมื่อไม่เห็นทางที่จะบินไปได้ จึงได้ร้อง
คร่ำครวญอยู่ ขอพระองค์จงให้คนนำแมลงภู่นั้น ออกจากช่อฟ้าเถิด.
พระราชารับสั่งให้บุรุษคนหนึ่ง นำแมลงภู่ออกได้ด้วยอุบาย.
พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในพระราชวัง
ของพระองค์ มีนกดุเหว่าที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งมิใช่หรือ ?
พระราชาตรัสว่า มีอยู่ขอรับ.
พระดาบสกราบทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร นกดุเหว่านั้นคิดถึง
ไพรสณฑ์ที่ตนเคยอยู่ ดิ้นรนคิดว่า เมื่อไรหนอเราจึงจะพ้นกรงนี้ ไป
สู่ไพรสณฑ์ที่น่ารื่นรมย์ จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่สี่ แม้เพราะเหตุนี้
ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ 4 ความว่า :-
ไฉนหนอ เราจึงจะจากที่นี่ไปให้พ้น จาก
ราชนิเวศน์เสียได้บันเทิงใจ ชมต้นไม้กิ่งไม้ที่
มีดอก ทำรังอาศัยอยู่ตามประสาของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุมสาขานิเกตินี ความว่า ทำรัง
อาศัยอยู่อย่างสบาย ที่ต้นไม้กิ่งไม้ที่มีดอกบานสะพรั่ง.
ก็แหละครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ได้กราบทูลต่อไปว่า ดูก่อน
มหาบพิตร นกดุเหว่านั้นดิ้นรน ขอพระองค์จงปล่อยนกดุเหว่านั้นเถิด.
พระราชารับสั่งให้กระทำตามนั้น. พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ในพระ-
ราชวังของพระองค์มีเนื้อที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งมิใช่หรือ ?
พระราชาตรัสว่า มีขอรับ.
พระดาบสกราบทูลว่า เนื้อนั้นเป็นนายฝูง คิดถึงนางเนื้อของตน
ดิ้นรนด้วยอำนาจกิเลส จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่ห้า แม้เพราะเหตุนั้น
ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ 5 ความว่า :-
ไฉนหนอ เราจึงจะไปจากที่นี่ ให้พ้น
พระราชนิเวศน์ไปเสียได้ เราจักนำหน้าฝูง ไป
ดื่มน้ำที่ดีเลิศได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อคฺโคทกานิ ความว่า เมื่อไรหนอ
แล เราจักนำหน้าฝูงไปดื่มน้ำที่ดีเลิศ ซึ่งเนื้ออื่น ๆ ยังไม่เคยดื่มมาก่อน.
พระมหาสัตว์ผู้ดาบส ได้กราบทูลขอให้พระราชาทรงปล่อยเนื้อ
นั้นไป แล้วกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในพระราชวังของ
พระองค์มีลิงที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งมิใช่หรือ ? เมื่อพระราชารับสั่งว่า มีขอรับ

พระดาบสได้กราบทูลว่า ลิงนั้นกำหนัดอยู่ด้วยกาม กับฝูงนางลิงในป่า
หิมวันตประเทศเที่ยวไป ถูกนายพรานชื่อภารตะนำมาที่นี่ บัดนี้ ดิ้น
รนอยากจะไปที่นั้น จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่หก แม้เพราะเหตุนั้น ภัย
ก็มิได้มีแก่พระองค์ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ 6 ความว่า :-
นายพรานภารตะ ชาวพาหิกรัฐนำเราผู้
มัวเมาด้วยกามทั้งหลาย ผู้กำหนัดหมกมุ่นอยู่
ในกามมาแล้ว ลิงนั้นกล่าวว่า ขอความเจริญ
จงมีแต่ท่าน ขอท่านจงปล่อยข้าพเจ้าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาหิโก ได้แก่นายพรานภารตะ
ชาวพาหิกรัฐ.
บทว่า ภทฺทมตฺถุ เต วานรนั้นกล่าวความข้อนี้ว่า ขอความ
เจริญจงมีแก่ท่าน ขอท่านจงปล่อยข้าพเจ้าเถิด.
พระมหาสัตว์ขอให้พระราชาทรงปล่อยลิงนั้นแล้ว ทูลถามต่อไปว่า
ในพระราชวังของพระองค์ มีกินนรที่เลี้ยงไว้มิใช่หรือ ? เมื่อพระราชา.
ตรัสว่า มี จึงกราบทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร กินนรนั้น คิดถึงคุณที่
นางกินรีทำไว้แก่ตน เร่าร้อนเพราะกิเลส จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่เจ็ด
ด้วยว่าวันหนึ่งกินนรนั้น ขึ้นไปสู่ยอดเขาตุงคบรรพต กับนางกินรี
พากันเลือกเก็บดอกไม้ที่มีสีงาม กลิ่นหอม และมีรสอร่อยนานาชนิด
ประดับกายตน ไม่ได้กำหนดพระอาทิตย์ที่กำลังจะอัสดงคต เมื่อพระ-

อาทิตย์อัสดงคตแล้ว ความมืดได้มีแก่กินนรและกินรี ผู้กำลังลงจากยอด
เขา นางกินรีได้กล่าวกะกินนรว่า ที่รักมืดเหลือเกิน ท่านจงระวัง
ก้าวลงอย่าให้พลาด แล้วจับมือก้าวลงไป กินนรคิดถึงคำของนางกินรีนั้น
จึงได้ร้องขึ้น แม้เพราะเหตุนั้น ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ ดังนี้ เมื่อจะ
การทำเรื่องราวนั้นได้ปรากฏ โดยที่กำหนดรู้ได้ด้วยญาณของตน จึง
กล่าวคาถาที่ 7 ความว่า :-
เมื่อความมืดมิด ปรากฏเบื้องบนภูเขา
อันแข็งคม นางกินรีนั้น ได้กล่าวกะเราด้วย
ถ้อยคำอันไพเราะอ่อนหวาน ท่านอย่าจรดเท้า
ลงบนแผ่นหิน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺธการติมิสฺสาย ความว่า เมื่อ
ความมืดอันกระทำความบอด ปรากฏ.
บทว่า ตุงฺเค แปลว่า แหลมคม.
บทว่า สณฺเหน มุทุนา ความว่า ด้วยถ้อยคำอันไพเราะ
อ่อนหวาน.
อักษร ในบทว่า มา ปาทํ ขณิยฺสมินิ นี้ ท่านถือเอาด้วย
อำนาจแห่งพยัญชนะสนธิ. มีคำอธิบายดังนี้ นางกินรีนั้นได้พูดกะเรา
ด้วยวาจาอันอ่อนหวานนุ่มนวลว่า. ที่รักท่านอย่าประมาท ท่านอย่ากด

เท้าลงบนแผ่นหิน คือ ค่อย ๆ ก้าวลง อย่าให้ลื่นพลาดไปที่แผ่นหินได้.
ดังนี้แล้ว จับมือก้าวลงไป.
พระมหาสัตว์ได้กราบทูลถึงเหตุที่กินนรร้องดังนี้แล้ว ได้ทูลขอ
ให้ทรงปล่อยกินนรนั้น แล้วกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร เสียง
ที่ 8 เป็นเสียงเปล่งอุทาน คือที่เงื้อมภูเขา นันทมูลกะ พระปัจเจก-
พุทธเจ้าองค์หนึ่งว่า อายุสังขารของตนจะสิ้นแล้ว จึงคิดว่าจักไปแดน
มนุษย์ ปรินิพพานในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี พวกมนุษย์
จักเผาศพเรา จักเล่นสาธุกีฬา บูชาธาตุบำเพ็ญทางสวรรค์ ดังนี้แล้ว
เหาะมาด้วยฤทธานุภาพ เวลามาถึงยอดปราสาทของพระองค์ ได้ปลง
ขันธภาระเปล่งอุทานแสดงเมืองแก้วคือนิพพาน ดังนี้แล้ว กล่าวคาถา
ที่พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวไว้ ความว่า :-
เราเห็นพระนิพพานอันเป็นที่สิ้นชาติ ไม่
ต้องกลับมานอนในครรภ์อีก โดยไม่ต้องสงสัย
ความเกิดของเรานี้ มีในที่สุดแล้ว การนอน
ในครรภ์เป็นหนสุดท้ายแล้ว สงสารเพื่อภพ
ใหม่ต่อไปของเราสิ้นสุดแล้ว.

คาถานั้นมีอรรถาธิบายดังนี้. เราชื่อว่าเห็นชัดที่สุดแห่งความสิ้น
ชาติ เพราะได้เห็นพระนิพพาน กล่าวคือความสิ้นไปแห่งชาติแล้ว ไม่
ต้องเวียนมาสู่การนอนในครรภ์อีก โดยไม่ต้องสงสัย ความเกิดของเรา

นี้มีในที่สุดแล้ว การนอนในครรภ์เป็นหนสุดท้ายแล้ว สงสาร กล่าว
คือลำดับแห่งเบญจขันธ์ เพื่อภพใหม่ของเรา ก็สิ้นสุดแล้ว.
ก็และพระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวคาถานี้ด้วยสามารถแห่งอุทาน
แล้วมาสู่พระราชอุทยานนี้ ปรินิพพานที่โคนตันรังอันมีดอกบานสะพรั่ง
ต้นหนึ่ง ดูก่อนมหาบพิตร ขอเชิญพระองค์เสด็จไปปลงศพพระปัจเจก-
พุทธเจ้านั้นเถิด.
พระมหาสัตว์ พาพระราชาไปที่พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพาน
ชี้ให้ทอดพระเนตรสรีระนั้น. พระราชาทอดพระเนตรเห็นสรีระของ
พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นแล้ว พร้อมด้วยพลนิกาย บูชาด้วยของหอมเป็น
ต้น ทรงอาศัยคำของพระโพธิสัตว์รับสั่งให้งดยัญญกรรม พระราชทาน
ชีวิตแก่สัตว์ทั้งหมด ให้ตีกลองประกาศห้ามฆ่าสัตว์ในพระนคร ให้
เล่นสาธุกีฬาเจ็ดวัน แล้วให้เผาศพพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยสักการะใหญ่
บนจิตกาธานที่ทำด้วยของหอมทุกอย่าง แล้วให้สร้างสถูปไว้ที่ทาง 4
แพร่ง.
แม้พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาแล้วกล่าวสอนว่า ขอ
พระราชาจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิดดังนี้ แล้วเข้าป่าหิมพานต์เจริญพรหม-
วิหาร ไม่เสื่อมจากฌาน มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัส
ว่า มหาบพิตร อันตรายไร ๆ จะมีแก่พระองค์ เพราะทรงสดับเสียงนั้น
หามิได้ พระองค์จงงดการบูชายัญนั้นเสีย จงประทานชีวิตแก่มหาชน

ดังนี้แล้วให้พระราชาทรงบำเพ็ญชีวิตทาน ให้ตีกลองประกาศให้มาฟัง
ธรรมทั่วพระนคร แล้วทรงแสดงธรรมประชุมชาดกว่า พระราชา
ในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์ มาณพได้เป็นพระสารีบุตร พระดาบส
ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอัฏฐสัททชาดกที่ 2

3. สุลสาชาดก



ว่าด้วยผู้รอบรู้เหตุผลย่อมรอดพ้นศัตรู



[1137] สร้อยคอทองคำนี้ มีแก้วมุกดา แล้ว
ไพฑูรย์เป็นอันมา ตลอดจนทรัพย์นับเป็น
พันทั้งหมด ข้าพเจ้ายกให้ท่าน ขอความ
เจริญจงมีแก่ท่าน และจงประกาศข้าพเจ้าว่า
เป็นทาสีเกิด.
[1138] แน่ะแม่คนงาม เจ้าจงเปลื้องเครื่อง
ประดับออกอย่ามัวร่ำไรให้มากไปเลย เราไม่
รับรู้อะไรทั้งนั้น เรานำเจ้ามาเพื่อทรัพย์อย่าง
เดียวเท่านั้น.
[1139] ฉันมานึกถึงตัวเอง แต่น้อยคุ้มใหญ่
ฉันไม่ได้รู้จักรักชายอื่น ยิ่งไปกว่าท่านเลย.
[1140] ขอเชิญท่านนั่งลง ฉันจักขอกอดท่าน
ให้สมรัก และจักกระทำประทักษิณแก่ท่าน
เสียก่อน เพราะว่าต่อแต่นี้ไป การคบหากัน
ระหว่างฉันกับท่านจะไม่มีอีก.